วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Jaejoong's tattoo.



Jaejoong's tattoo.

ปี 2005 
“TVfXQ
SOUL”

Tattooed at Las Vegas – USA with Yoochun



ปี2008 ระหว่าง สิหาคม-กันยายน

“The pleasure of the mighty are the tears of the poor”
“A song will outlive all sermons in the memory”
“Hope to the end”



ปี2008 ระหว่าง กันยายน-ตุลาคม

The wings designed by Jaejoong himself

กุญแจซอลด้านซ้ายนะคะ เขียนว่า The Pleasures of The Mighty Are The Tears of The Poor
= ความพึงใจของผู้ยิ่งใหญ่คือหยาดน้ำตาแห่งผู้ไร้วาสนา

คำคำนี้มีที่มาจากสุภาษิตของชาวละตินค่ะ หลังจากที่คุยกับคุณ Kenoa มา เค้าบอกว่า ต้นฉบับของคำคำนี้คือ "the pleasures of the mighty are obtained by the tears of the poor" ของ Samuel Richardson นักเขียนนิยายชาวอังกฤษ ในศตวรรษที่ 18 ค่ะ ซึ่งมันมีความหมายว่า ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยไม่ต้องเสียอะไรเพื่อแลกกับสิ่งนั้น

ส่วนกุญแจซอลด้านขวาเขียนว่า A Song Will Outlive Sermons in The Memory. Hope to The End
= บทเพลงจักขับขานได้ยาวนานกว่าบทสวดใดๆในความทรงจำ จงมีความหวังจนถึงที่สุด

ซึ่งเป็นประโยคของ Henry Giles (อยากทราบข้อมูลเพิ่มเติม ดูใน Wikipedia ได้ค่ะ) ของจริงนี่ จะมีคำว่า All หน้า Sermons ด้วยนะคะ ซึ่งความหมายก็ไม่ได้ต่างกันไปมากมาย

ส่วนวลี Hope to The End นั้นเป็นวลีที่มาจากคัมภีร์ไบเบิ้ล(Bible quote: I Peter 1:13)ค่ะ ส่วนความหมายนั้น ต้องบอกว่าไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก จากการสอบถาม คนส่วนใหญ่เชื่อว่าน่าจะหมายถึงการมีความหวังจนถึงที่สุด บางคนก็บอกว่า แจจุงตั้งใจจะหมายถึงว่า หวังว่าเมื่อไหร่มันจะจบลงเสียที คือ หวังไปถึงตอนจบ นั่นเอง


ปี2009 ,21 มิถุนายน

“0126 0204” (Jaejoong’s birthdays) in Roman numerals
คือวันเกิดของแจจุง

O I  II  VI = 0126  วันเกิดตามใบแจ้งเกิด

O II O IV  = 0204  วันเกิดจริง


ปี2009 ,5 สิงหาคม

“Always keep the faith”
Tattooed at Tatist with Yoochun
“The ‘Always Keep the Faith’ tattoo I have on the front represents my desire to protect my beliefs.” – Jaejoong (Translation by allkpop, Source: ELLE MovieStill)



ปี 2009 ตุลาคม
“Deferto Neminem”
(Accuse no man, from Shakespeare’s Hamlet)




ปี 2010 ตุลาคม
“MICKY JUNSU”
When Jaejoong was asked about the meaning of this tattoo, he said that it was a memorial for their debut.


ปี 2011 พฤศจิกายน
The tattoo remains unknown but it was said that the tattoo was Japanese words. It highly seems that Jaejoong had him tattooed after Unforgettable concert in Japan (October, 15-16th, 2011). He has stayed in Japan 1 week for a top-secret mission.


เพิ่มเติมนิดหน่อย 
ที่สะโพกของแจจุงนั้น สักมานานแล้วค่ะ



แต่ละรอยสักของแจจุง เค้าจะมีความหมายที่สื่อถึงเค้าในตอนนั้นๆ และเป็นคำที่มีความหมายทั้งเตือนตัวเองและให้กำลังใจตัวเอง 






History Kim JaeJoong


Kim Jae Joong 



ชื่อในวงการ :. 
Hero (Young Woong)

ตำแหน่ง :. นักร้องนำ (Main Vocal) 

วันเกิด :. 26 มกราคม 1986 

ส่วนสูง :. 180 ซ.ม. 

น้ำหนัก :. 63 ก.ก. 

ขนาดรองเท้า :. 275 มม.

กรุ๊บเลือด :. 

บ้านเกิด :. Choong 
Nam 

ที่อยู่ :. กรุงโซล 

งานอดิเรก :. ฟังเพลงเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์เล่นเวท 

ความสามารถพิเศษ :. ร้องเพลงทำอาหาร อดหลับอดนอนได้.. เดิน เล่น แล้วก็เกม 3.6.9 

นิสัยส่วนตัว :. เรียบร้อยรักความสะอาดพูดตรงไปตรงมา 





ชีวิตที่ยิ่งกว่านิยาย ของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในศิลปินกลุ่ม

ที่โด่ง

ดังที่สุดในเอเชีย

"คิม แจจุง" แห่งวง ดงบังชินกิ
 หรือปัจจุบัน JYJ 

เมื่อเด็กหนุ่ม วัย 15 ปีเดินทางจากบ้านเกิดเพื่อมาแสวงหาความฝันให้เมืองหลวง 
เค้าไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อน เมืองที่น่าตื่นตาตื่นใจ ถนนที่วุ่นวาย เค้ารู้สึกเหมือนหัวใจเค้าอ่อนแรง เพราะถูกใช้งานหนักเหลือเกิน ... จริงหรือ? ที่เค้าจะเจอสถานที่ที่พอจะใช้อาศัยได้ในเมืองใหญ่นี่ เด็กหนุ่มยั้งคิด..

แต่... ความฝันในจิตใจเค้ายังไม่ตาย ถ้าเค้ากลับบ้านทั้งแบบนี้ เค้าจะไม่มีวันให้อภัยความขี้ขลาดของตัวเองแน่ โดยไม่ต้องการความช่วยเหลือ จากใคร ในที่สุด เด็กหนุ่มก็เจออพาตเม้นท์ข้างๆโรงงานปลาทูน่ากระป๋องที่ที่เค้าจะ เรียกมันว่าบ้าน..

SM Entertainment ค่ายเพลงที่ใหญ่ที่สุด ได้จัดให้มีการการแข่งร้องเพลงเป็นครั้งที่ 2 เด็กหนุ่มไปที่ล๊อบบี้บริษัท เค้าเห็นเด็กผู้ชายอีกหลายๆคน ที่เหมือนกับเค้าที่หวังว่าตัวเองจะถูกเลือกจากการแข่งครั้งนี้ และจะสามารถเป็นนักร้องที่ประสบความสำเร็จได้..

เด็กผู้ชายพวกนั้นต่างแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ดูดีที่สุด ทุกคนฟัง mp3 และซ้อมร้องเพลงของตัวเอง เค้าก้มมองดูตัวเอง....เสื้อยืดสีเทาและกางเกงยีนส์ ......ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเค้าแพ้ไปแล้วกว่าครึ่งเลยทีเดียว

แจจุงเป็นผู้เข้าประกวดหมายเลข 12 และเมื่อถูกเรียก เค้าก็เข้าห้องไปเจอกรรมการที่ดูไร้ความรู้สึก 5 คน..
ทำเอารู้สึกประสาทกินเลยทีเดียว...

และเมื่อกรรมการสั่งให้เค้าร้องเพลง เสียงของเค้าก็โดนใจทุกๆคนในห้อง มันเป็นเสียงที่ไม่มีการปรุงแต่ง
นุ่มนวล เศร้าศร้อย และดูอ่อนแรง ทำให้คุณจะอยากฟังเสียงของเค้าไปเรื่อยๆ

แต่เหตุผลที่ทำให้เค้าชนะการแข่งครั้งนี้ ก็เพราะเค้ามีใบหน้าที่ไร้ตำหนิ ผิวขาวเหมือนหิมะที่สมบูรณ์แบบ 
ขนตาที่ยาว ดวงตาโตชุ่มฉ่ำ ส่วนประกอบต่างๆที่ทำให้ดูน่ารักยื่งกว่าเด็กผู้หญิง!!

เหล่ากรรมการต่างบอกว่าเค้ามีใบหน้าที่เกิดมาเพื่อวงการบันเทิงโดยเฉพาะ จากนั้นเค้าได้เซ็นสัญญากับ SM เป็นเวลา 7 ปี แต่ระหว่างปีที่ฝึกเค้าจะต้องจ่ายค่าเรียนเต้นและเรียนร้องเอง

ซึ่งขณะนั้นแจจุงรู้ดีว่าฐานะทางบ้านของเค้าไม่ค่อยสู้ดีนัก ดังนั้นเค้าจึงไม่เคยขอเงินจากพ่อแม่เลยซักกะแดงเดียว..

ทุกวัน เค้าจะต้องวิ่งโร่ทำงาน 3 อย่าง..ในเวลาที่คนอื่นๆยังคงมีความสุขอยู่บนเตียงนอน เค้าจะต้องขี่จักรยานคันเก่าๆไปส่ง นสพ. บ้านแล้วบ้านเล่า
ใน ตอนบ่ายเค้าจะต้องทำงานก่อสร้าง ใบหน้าที่งดงามจะต้องถูกปกคลุมด้วยซีเมนต์และสิ่งสกปรก ต่อจากนั้นเค้าก็จะเข้าห้องฝึก ซึ่งเค้าจะต้องพยายามอย่างหนัก เพราะอยากจะเป็นที่ถูกใจของคนที่อยู่เบื้องบน
ตกเย็นเค้าก็ต้องไปทำงานต่อที่ร้านอาหารซึ่งอยู่ไกล โดยที่เค้าต้องยอมเดินกว่า 3 ชม.ทุกๆวัน (ขอย้ำอีกครั้งว่าเค้าเดินอ่ะพี่น้อง) เพื่อประหยัดค่ารถ..

แทบไม่น่าเชื่อเลยว่านี่คือสิ่งที่เด็กอายุ 15 ต้องเผชิญ กว่า 2 ปี เพื่อที่จะก้าวไปสู้ชีวิตที่สาดส่องด้วยแสงสว่าง

เมื่อเค้าได้ค่าแรงมา อย่างแรกที่แจจุงจะทำคือ จ่ายค่าเรียน แต่เงินที่เหลือจากนั่นเกือบไม่พอสำหรับค่าอาหารหรือซื้อเสื้อผ้า..

ในที่สุด วันหนึ่ง เค้าก็ค้นพบว่า เค้าไม่มีเงินเหลือพอสำหรับค่าอาหารอีกแล้ว หลังจาก 2 วันของความหิวโหย ร่างกายเค้าก็อ่อนแรง

แต่ถึงอย่างนั้น เค้าก็ยังคงไปทำงาน ไปฝึก และไปทำงานที่ร้านอาหารในตอนดึก ระหว่างที่เค้าทำความสะอาดร้านอยู่นั้น เค้าก็เห็นชามบะหมี่ของลูกค้าที่กินเหลือไว้ น้ำซุปนั้นยังร้อนๆอยู่เลย ด้วยความหิวเค้าจึงยกมันขึ้นมาซดและกินเส้นที่เหลืออยู่ทั้งน้ำตา 
และด้วยการทำงานและการฝึกซ้อมอย่างหนัก วันนึงเค้าเกิดมีไข้ขึ้นมา ทำให้เค้าต้องหยุดงานทุกอย่างและนอนพักอยู่บนห้องเล็กๆนั่นกว่า 3 วัน (เดาว่านะ นอนเฉยๆไม่ไปไหนอ่ะ) เค้ารู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่เค้าจ่ายค่าเรียนไปแล้ว แต่การที่เค้านอนมา 3 วันมันน่าเสียดายมากทีเดียว เค้าจึงลุกขึ้นและไปทำงานที่ร้านอาหารในตอนเย็นแม้ว่าจะยังไม่หายดี

ขากลับจากร้านอาหาร เค้าเห็นบูธบริจาคโลหิต... กระเพาะของเค้าเริ่มร้องขออาหาร..เค้าจึงต้องทำในสิ่งที่เค้าไม่อยากทำอีก ครั้ง..เค้าเดินเข้าไปที่บูธนั้น ชั่วโมงกว่าๆต่อมา เค้าก็เดินออกมาพร้อมค่าตอบแทนเล็กๆน้อยๆ จากนั้นเค้าจึงไปที่ร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อแครกเกอร์ที่ถูกที่สุดกลับไป ..
ในที่สุดเค้าก็ผ่าน 2 ปีอันโหดร้ายนี้มาได้
เค้าได้เดบิวต์ และถึงแม้มันจะมีเพียง 2 ซิงเกิ้ลแต่อัลบั้มของพวกเค้าก็ขึ้นสู่ที่ 1 เค้าได้รับจดหมายจากแฟนๆ แล้วเค้าก็รู้ว่า 2 ปีที่ผ่านมา มันคุ้มค่า..และปัจจุบันเค้าก็ได้เป็นทั้งนักร้อง (ที่บางครั้งแต่งเพลงเองดีกด้วย) และนักแสดงที่โด่งดังมากๆ